ในปัจจุบันนี้มีหลายธุรกิจที่เลือกใช้กลยุทธ์แบบ Influencer marketing เพื่อส่งเสริมการตลาด สร้างการรับรู้ให้แบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ และอาจส่งผลไปถึงยอดขายของสินค้าที่จะมีตามมา ซึ่งปัจจุบันนี้การใช้ Influencer ให้เป็นตัวแทนของแบรนด์ในการขับเคลื่อนธุรกิจถือว่าประสบความสำเร็จกันมากทีเดียว กลายเป็นกระแสที่มาแรงในแวดวงนักการตลาด ซึ่งที่ผ่านมามีการทุ่มงบการตลาดลงไปจำนวนไม่น้อย

Influencer คือใคร?

พูดง่ายๆ ว่า Influencer คือคนหรือกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ความคิด และการตัดสินใจในโลกออนไลน์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในกลุ่มของดารา เซเลบริตี้ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วๆ ไปที่ได้รับความชื่นชอบ มีคนติดตาม คนที่ชอบรีวิวต่างๆ ซึ่งดูจะเป็นคนที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น สามารถสัมผัสใกล้ชิดได้มากขึ้น คนเหล่านี้จะสามารถชี้นำการตัดสินใจของผู้ติดตามอย่างแนบเนียน ส่งผลต่อสินค้าหรือแบรนด์นั้นๆ ได้

การใช้ Influencer ดีอย่างไร?

สิ่งที่ Influencer ทำให้แบรนด์ได้โดยตรงคือการสร้างการรับรู้ให้แก่แบรนด์ เพราะเขาเป็นเสมือนตัวแทนที่จะทำให้แบรนด์ได้รับความสนใจมากขึ้น และยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือได้อย่างมากอีกด้วย เพราะทั้งตัว Influencer เองและผู้ติดตามหรือลูกค้าต่างก็เป็นผู้บริโภคเหมือนๆ กัน การรับฟังความคิดเห็นกันเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก Influencer เองนั้นมีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งที่เกี่ยวของกับสินค้าอยู่ด้วยก็จะยิ่งเพิ่มน้ำหนักได้มากขึ้นอีกต่อหนึ่ง นั่นคือการได้รับทั้งความน่าเชื่อถือและความเชื่อใจ นอกจากนี้การใช้ Influencer ยังสามารถที่จะติดตามผลการตอบรับได้ทั้งจากยอด Reach และยอด Engagement ของ Influencer คนนั้นๆ ได้ หากว่ามีคนสนใจติดตามหรือชื่นชอบไลฟ์สไตล์ของ Influencer คนนั้นๆ สินค้าที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวันของเขาก็จะได้รับความสนใจไปด้วย อาจทำให้มีการสืบค้นข้อมูลของสินค้านั้นๆ มากขึ้นจนส่งผลให้ค่า seo ของเว็บไซต์สินค้านั้นติดอันดับที่ดีบนเสิร์ชเอนจิ้งได้ด้วย

ข้อควรระวังในการใช้ Influencer

การใช้ Influencer แม้จะมีพลังในการชี้นำอย่างมากก็ตาม แต่ก็มีข้อต้องควรระวังอยู่ไม่น้อย เพราะหากเราเลือกใช้ Influencer แล้วผลที่ออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าของเราได้มากเช่นกัน ดังนั้นอาจต้องให้ความสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ด้วย

(✓) 1. Influencer ที่ไม่ใช่ยังไงก็ไม่เกิด การเลือกใช้ Influencer ที่ไม่เหมาะกับแบรนด์ก็อาจส่งผลตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการก็ได้ การเลือก Influencer จึงมีส่วนสำคัญต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์สินค้าของเราก่อนว่าต้องการ Influencer แบบไหน แล้วจึงมองหา Influencer ที่มีคุณสมบัติตรงตามวัตถุประสงค์ของเราจริงๆ ดังนั้นการเลือกคนที่ใช่ยังไงก็ปัง

(✓) 2. Follower ใช่ที่คุณภาพไม่ใช่ปริมาณ แม้ว่า Influencer นั้นจะมีจำนวน Follower ติดตามอยู่ก็ตาม แต่หากว่าผู้ติดตามของ Influencer นั้นไม่สามารถที่จะมาเป็นลูกค้าหรือไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา การเลือก Influencer รายเล็กลงหน่อยแต่มีผู้ติดตามที่เรียกว่ามีคุณภาพมากกว่าก็ดูจะดีกว่ามาก

(✓) 3. ให้ Influencer เป็นตัวเอง บางทีความไม่เข้าใจและต้องการขายหรือดันสินค้ามากเกินไปของเจ้าของแบรนด์ก็อาจทำลายแคมเปญนั้นลงเสียเอง การยัดเยียดให้ Influencer ทำคอนเทนต์แบบที่ไม่ใช่วิถีที่ผู้ติดตามคุ้นเคยมากเกินไปอาจทำลายความน่าเชื่อถือ และอาจลามไปถึงการต่อต้าน Influencer และรวมไปถึงสินค้าหรือแบรนด์นั้นๆ เลยก็ได้

(✓) 4. Content ที่ Influencer ถนัด หากต้องให้ Influencer ไปทำคอนเทนต์ที่ไม่ใช่วิธีของเขาก็อาจทำให้บรรดาผู้ติดตามเกิดความรู้สึกแปลกใจว่าคอนเทนต์นี้ไม่ใช่ของคนที่เขาชื่นชอบหรือติดตามอยู่จริงๆ การเลือกวิธีปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ให้ลงตัวกับ Influencer จึงดูจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เช่น หาก Influencer นั้นถนัดในการผลิตคอนเทนต์แบบวิดีโอก็ควรใช้คอนเทนต์ในแบบวิดีโอ หรือหาก Influencer คนนั้นถ่ายรูปสวยก็เลือกใช้ภาพนิ่งในการโปรโมท

(✓) 5. Influencer เน้นที่มาดีกว่าแค่ตัวเลข ตัวเลขไม่ได้การันตีว่า Influencer นั้นดีจริง อย่าลืมเช็คประวัติที่มาของ Influencer นั้นๆ ให้ดีเสียก่อน ที่มาของตัวเลขยอด Reach หรือยอด Engagement เหล่านั้นมีที่มาอย่างไร เกิดจากการปั่นกระแสขึ้นมาหรือไม่ ด้วยวิธีใด ฯลฯ เรื่องเหล่านี้จะส่งผลต่อสินค้าและแบรนด์ของเราในระยะยาวเช่นกัน เพราะตัวเลขอาจเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

ดังนั้น การเลือก Influencer จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบครบทุกอย่าง เพราะเขาเหล่านั้นคือตัวแทนของเราในการที่จะผลักดันกลยุทธ์การขายของเราให้ประสบผลสำเร็จ ถ้าเลือกมาแบบผิดๆ ก็คงไม่ต่างกับการทำลายตัวเอง เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา ไม่คุ้มค่าเลย