โฆษณาบน Facebook เริ่มแพง! 

ในระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา Facebook ได้เข้ามามีบทบาทในวงการสื่อโฆษณาจนกลายเป็นผู้ครองตลาดสื่อโฆษณารายใหญ่ของโลก เรียกได้ว่าการโฆษณาบน Facebook นั้นให้ผลดีกว่าสื่อดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ถูกกว่ามาก ส่งผลให้สื่อดั้งเดิมหลายรายจึงได้ล้มหายตายจากกันไปเลยทีเดียว และแน่นอนว่าด้วยอิทธิพลของสื่อออนไลน์กับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่หัวใจดิจิทัล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเห็นได้ว่าค่าโฆษณาบน Facebook นั้นเพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี 

แพงไปไม่จ่าย! – แบรนด์ต่างประเทศเริ่มถอยจากการลงเงินโฆษณา Facebook

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าค่าโฆษณาบน Facebook นั้นแพงขึ้นเป็นเท่าตัว อีกทั้งการปรับ algorithm ใหม่ ๆ ของ Facebook ยังส่งผลให้แบรนด์มีข้อจำกัดมากยิ่งขึ้นในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหากไม่เสียเงินโฆษณา ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพงขึ้นถึง 30-50% ในขณะที่ผลของการโฆษณาบน Facebook มีประสิทธิภาพที่ต่ำลง 

เพราะเหตุนี้ แบรนด์ต่างประเทศหลายแบรนด์เริ่มทยอยเลิกลงเงินกับโฆษณาบน Facebook ไปกว่า 30% โดยได้โยกเงินส่วนนี้ไปลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ แทน Facebook 

ตัวเลือกอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Facebook

การมี Facebook Page สำหรับธุรกิจของคุณนั้นได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นจนเรียกได้ว่าหลายธุรกิจเลือกที่จะสร้าง Facebook Page ก่อนเว็บไซต์เสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม โลกออนไลน์ในปัจจุบันมีช่องทางในการสร้างตัวตนให้กับธุรกิจของคุณได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Podcasts, Instagram TV, YouTube หรือ Twitter ทำให้ Facebook ไม่ได้เป็นช่องทางหลักเพียงช่องทางเดียวสำหรับแบรนด์ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอีกต่อไป 

Podcasts

ถึงแม้ว่าสื่อดั้งเดิมอย่างสถานีวิทยุหรือหนังสือพิมพ์จะเริ่มล้มหายตายจากกันไปหลายราย แต่ Podcasts ก็ได้ชุบชีวิตให้กับช่องทางการฟังรายการวิทยุอีกครั้งในรูปแบบออนไลน์ โดยปัจจุบันมีผู้ฟัง Podcasts เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของ Podcasts จึงทำให้มีเงินโฆษณาไหลเข้าสู่ผู้ผลิตรายการ Podcasts เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงช่องสื่อต่าง ๆ ของแบรนด์หลาย ๆ แบรนด์ที่เริ่มสร้าง Channel ของตนเองบน Podcasts เพิ่มมากขึ้น 

Snapchat, Instagram TV และ Story

ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ กับการบริการเร่งด่วนติดจรวจในยุคดิจิทัล ทำให้สื่อวิดีโอเร็วด่วนอย่าง Instagram Story หรือ Snapchat ได้รับความนิยมมากในกลุ่มนักสิงโซเชียล ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มหันมาลงงบโฆษณาผ่าน VDO Story มากขึ้น อีกทั้ง VDO Story ส่วนใหญ่นั้นมักกินเวลาผู้ชมเพียงหลักเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทำให้ VDO โฆษณาเหล่านี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น Instagram ยังมี feature เพิ่มลูกเล่นให้กับคลิปโฆษณาที่ผู้ชมสามารถเลื่อนลงมาเพื่อกดเช็คราคาสินค้าหรือสั่งซื้อสินค้าได้ผ่านลิงค์ที่จะนำผู้ชมไปสู่หน้าตะกร้าสินค้าได้อีกด้วย 

แล้วจะโฆษณา Facebook อย่างไรให้คุ้มทุน 

หากคุณคิดว่าท้ายที่สุด Facebook ก็ยังคงเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้วละก็ เรายังมีวิธีที่คุณจะสามารถบริหารงบโฆษณา Facebook ของคุณให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดมานำเสนอดังต่อไปนี้:

1. เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ซ้ำซ้อนกันในแต่ละแคมเปญ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจำกัดการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดย Facebook อีกทั้งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันจะช่วยผลักดันให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นอีกด้วย 

2. ติดตั้ง Facebook Pixel ลงบนเว็บของคุณ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถดึงข้อมูลและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสนใจของพวกเขา พฤติกรรมของพวกเขา รวมไปถึงข้อมูลของการเพิ่มสินค้าลงไปในตะกร้าโดยที่ยังไม่ได้ชำระเงินเป็นต้น เพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น 

3. จำกัดวงเงินสูงสุดในการ Bid ค่าโฆษณา Facebook แน่นอนว่ารายได้หลักของ Facebook คือการขายโฆษณา ดังนั้นการที่คุณจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพย่อมหมายถึงการที่คุณต้องยอมจ่ายราคาที่สูงขึ้น โดย Facebook มี feature ในการเสนอราคาสูงสุดให้กับนักโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่เช่นเดียวกัน คุณเองก็สามารถเลือกที่จะจำกัดวงเงินที่คุณต้องการใช้กับการโฆษณาแต่ละแคมเปญเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด  

จะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าการโฆษณาบนสื่อโซเชียลยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ทำให้เกิดยักษ์ใหม่ ๆ ขึ้นได้ในทุก ๆ วัน ก็ทำให้นักการตลาดยังไม่ถึงกับขัดสนตัวเลือกในการโฆษณาไปเสียทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าค่าโฆษณาบน Facebook จะแพงขึ้น แต่คุณก็ยังคงมีตัวเลือกและช่องทางอื่น ๆ ที่จะบริหารงบโฆษณาของคุณให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดได้อยู่ดี