ถึงวันนี้ดูเหมือนคำว่า Fintech จะเริ่มเป็นที่คุ้นหูกันบ้างแล้ว Fintech หรือ Financial Technology เป็นนวัตกรรมทางการเงิน คือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการเงิน หรือนำเอาระบบการสื่อสารทางออนไลน์มาใช้ในเรื่องของการเงิน การธนาคาร และการลงทุน ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ยังเป็นการมา Disrupt หรือมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไปสู่สิ่งใหม่ด้วย สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ Fintech ก็คือสิ่งที่ทำให้การจ่ายเงิน โอนเงิน ของเราเป็นเรื่องที่สะดวกมากขึ้นและง่ายขึ้นนั่นเอง

ในปัจจุบันเรียกได้ว่า Fintech นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อระบบของการเงินเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายผ่านออนไลน์ได้มากขึ้น การใช้จ่ายด้วยเงินสดน้อยลง เห็นได้จากการซื้อขายสินค้าต่างๆ ที่ทุกวันนี้ร้านค้าต่างๆ จะต้องมีเครื่องรูดบัตร หรือสามารถจ่ายผ่านกระเป๋าเงินออนไลน์ทั้งแบบ Internet Banking, Mobile Banking และ Social Banking หรือการจ่ายเงินบน Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Facebook Messenger รวมถึงระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment ต่างๆ รวมถึงบริการ “พร้อมเพย์” และ QR Code ยิ่งทำให้ Fintech ใกล้ตัวผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งหมดเป็นการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้สามารถดึงลูกค้าได้ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้ยังเป็นการลดปัญหาในเรื่องของการเสียภาษีให้ได้อีกด้วย

ในวันนี้ Fintech มีส่วนผลักดันระบบเศรษฐกิจการเงินและนโยบายต่างๆ ของประเทศ และสำหรับ SMEs เอง นอกจากความสะดวกที่กล่าวมาแล้ว ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงินที่รวดเร็วนี้จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ได้ ที่มองเห็นได้ชัดเจนก็คือการหาแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ได้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น แต่เดิมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นข้อจำกัดที่สำคัญเพราะตลาด SMEs ของไทยนั้นมีขนาดใหญ่มาก หากแต่ปัจจุบันตลาดออนไลน์นั้นจะสามารถดึงผู้ที่ต้องการสินเชื่อต่างๆ ให้มาเจอกับนักลงทุนหรือ P2P Lending ได้ง่ายมากขึ้นโดยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งอาจไม่ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกันใดๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจรายย่อยมากๆ กระบวนการต่างๆ จะรวดเร็วกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องมีการเดินทางไปที่สาขาต่างๆ ไม่ต้องเตรียมเอกสารมากมายเช่นแต่ก่อน และได้รับข้อเสนอดอกเบี้ยที่ดีกว่าแบบเดิม

ยิ่งในปัจจุบันมีสตาร์ทอัพบางกลุ่มที่นำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือนำเอา Fintech มาพัฒนาระบบ Credit Scoring โดยใช้ข้อมูลบน Social Network มาเป็นเกณฑ์หนึ่งในการให้คะแนน และยังมีการดึงพฤติกรรมการใช้ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมาเสริมเพื่อวัดว่าบุคคลนั้นจะสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมถึงข้อมูลสถานที่ต่างๆ ที่ไปบ่อยๆ เพื่อนำมาพิจารณาความเสี่ยงทางการเงินด้วยข้อมูลที่แม่นยำ ทำให้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเฉพาะรายบุคคลได้ ต่างจากการคิดอัตราดอกเบี้ยกับผู้ขอสินเชื่อในอัตราที่เท่ากันแบบเดิมๆ

นอกจากในด้านการคิด Credit Score แล้ว ยังมี Fintech ที่ต้องใช้ระบบ Credit Scoring ในการให้บริการ P2P Lending ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ได้ เป็นวิธีการที่จะทำให้เกิดหนี้เสียในระบบน้อยที่สุดโดยคำนวนจาก Credit Score ที่จำแนกออกมาได้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับ SMEs มากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเอง