263 week ago — ใช้เวลาอ่าน 4 นาที
สรุปภาษี E-Commerce ปี 2562
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาด e-Commerce โดยจะเห็นได้ว่า
ช่องทางการขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดหน้าร้านขายของออนไลน์ผ่าน Lazada หรือ Shopee
หรือแม้กระทั่งการเปิดบริการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทาง Social Network อย่าง Facebook Instagram หรือ
Twitter ด้วยอัตราส่วนการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มสูงขึ้น และความสะดวกรวดเร็วในการเข้า
ถึงร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์นอกระบบเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น
อย่างประเมินค่าไม่ได้ โดยมีตัวเลขรายงานจากกรมสรรพากรว่าจำนวนผู้ขายสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยนั้น
สูงถึง 500,000 ราย และยังมีผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการค้าขายในไทยมากถึง 350,000
ราย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาทางภาครัฐยังไม่ได้มีนโยบายในการจัดเก็บภาษีกลุ่มผู้ค้าขายในส่วนนี้ที่ชัดเจนนัก
แน่นอนว่าการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมหนีไม่พ้นการเก็บภาษีในที่สุด เมื่อสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติได้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรว่าด้วยเรื่องระบบ e-Payment
โดยในมาตรา 3 ของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้กำหนดให้สภาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรม
ลักษณะเฉพาะต่อกรมสรรพากร โดยธุรกรรมลักษณะเฉพาะนั้นเป็นธุรกรรมลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังนี้:
ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันแล้ว มากกว่าหรือเท่ากับ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป
ฝากหรือรับโอนทุกบัญชีรวมกันแล้ว มากกว่าหรือเท่ากับ 400 ครั้ง และมียอดรวมเงินรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามธนาคาร ทำให้หากผู้ค้าขายทำการกระจายบัญชีไป
หลาย ๆ ธนาคาร อาจพอเลี่ยงการตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้บ้าง หรืออาจเลือกใช้บริการธนาคารต่าง
ประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้การยื่นภาษี e-Commerce จะขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ โดยแบ่งออกเป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่
ได้มีการจดทะเบียนบริษัทใด ๆ หรือรูปแบบนิติบุคคล โดยมีการคำนวณภาษีต่างกันดังนี้:
บุคคลธรรมดา จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิและเงินได้พึง
ประเมิน
โดยภาษีเงินได้สุทธิจะคำนวณจากรายได้ หรือเงินได้จากการขายสินค้าและบริการ (ประเภทที่ 8) หักลบ
ค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ในอัตราเหมาและหักตามค่าใช้จ่ายจริง โดยขึ้นอยู่กับอัตราค่าใช้
จ่ายตามที่กฎหมายกำหนดของธุรกิจแต่ละประเภท และหักลบค่าลดหย่อน อาทิเช่น ประกันชีวิต บุตร
คู่สมรส เป็นต้น
ในส่วนของภาษีเงินได้พึงประเมินนั้น ในกรณีที่มีเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือนสูงเกินกว่า 60,000 บาท
ให้นำยอดเงินได้นั้นคูณด้วย 0.005 และหากผลลัพธ์นั้นต่ำกว่า 5,000 บาทจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หาก
มากกว่าจะต้องทำการเปรียบเทียบระหว่างวิธีการคำนวณภาษีเงินได้สุทธิและวิธีการคำนวณภาษีเงินได้พึง
ประเมิน โดยเลือกวิธีการที่ได้จำนวนภาษีสูงกว่า
นิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยคำนวณตามเกณฑ์ที่เรียกว่า “กำไรสุทธิตามกฎหมายภาษีอากร”
ทั้งนี้หากธุรกิจ e-Commerce นั้น ๆ มีรายได้เกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ผู้ประกอบการธุรกิจนั้น ๆ จะต้อง
ทำการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่จัดทำรายงานภาษีซื้อ-ขาย และ
ยื่นแบบแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมชำระภาษีเพิ่มเติม
ทั้งนี้กรมสรรพากรยังคงพยายามผลักดันร่างกฎหมายการเก็บภาษีเพิ่มเติมกับผู้ค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์
หรือ e-Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังได้เสนอร่าง พ.ร.บ. 3 ฉบับเมื่อ
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้แก่:
ฉบับที่ 1: พ.ร.บ. แก้ไขกฎหมายภาษี ให้สถาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะต่อกรมสรรพากร
ฉบับที่ 2: พ.ร.บ. แก้ไขกฎหมายภาษี ให้เก็บภาษีกับการส่งพัสดุสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาทเพิ่มเติม
ฉบับที่ 3: พ.ร.บ. แก้ไขกฎหมายภาษี เพื่อเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ
ซึ่งการเสนอร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับยังคงเป็นที่จับตามองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจ e-Commerce หรือธุรกิจออนไลน์โดยตรง
คอมพิวเตอร์ควอนตัมคืออะไร ส่งผลกับโลกของเรายังไง?
249 week ago
มาทำความเข้าใจกับยุค Crowd-based Capitalism
249 week ago
Most read this week
Trending
Comments
Please login หรือ สมัครสมาชิก to join the discussion