อนาคตอยู่ในมือของ Generation Alpha

อนาคตอยู่ในมือของ Generation Alpha

SME Inspirations

GlobalLinker Staff

GlobalLinker Staff

271 week ago — 5 min read

Generation Alphas ชื่อนี้อาจยังไม่คุ้นหูมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าเกี่ยวข้องกับเราอย่างแน่นอน พวกเขาเป็นคนในเจเนอเรชันล่าสุดซึ่งจะมีวิถีชีวิตและแนวความคิดแตกต่างจากพวกเรา แต่มันก็เป็นผลพวงมาจากทุกสิ่งที่ก่อเกิดมาจากมือของพวกเราในวันนี้นี่แหละ

 

ใครคือ Generation Alpha

Generation Alpha คือผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2553-2568 ชื่อนี้ถูกตั้งโดยนักประชากรศาสตร์ชาวออสเตรเลีย Mark McCrindle ถือว่าเป็นคนเจเนอเรชันแรกของศตวรรษที่ 21 ซึ่งก็คือลูก ๆ ของบรรดาชาว Millennials (หรือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2523–2540) นั่นเอง คนในเจเนอเรชันอัลฟ่าจะเผชิญกับความท้าทายด้านประชากรและการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

คาดว่าเมื่อถึงปี พ.ศ. 2568 จะมีเจเนอเรชันอัลฟ่ากว่า 2,000 ล้านคน ซึ่งน่าจะเป็นเจเนอเรชันที่ได้รับการศึกษามากที่สุดและร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้ใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จุดเริ่มต้นของยุคเจเนอเรชันอัลฟ่าถูกผูกไว้กับการเปิดตัว **** และ Instagram และยังเป็นปีที่เฟซบุ๊กได้รับความนิยมแซงหน้ากูเกิลในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

 

  • ความเป็น Generation Alpha

คนเจเนอเรชันนี้จะสร้างอนาคตจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากวันนี้ เพื่อทำความเข้าใจต้องย้อนกลับไปดูว่าเจเนอเรชันอัลฟ่านั้นเกิดมาจากพ่อแม่ที่ค่อนข้างอายุมาก มักเป็นพวกลูกคนเดียวและเป็นครอบครัวที่มีขนาดเล็ก คนเจเนอเรชันนี้จึงถูกเลี้ยงดูแบบอยู่หน้าจอและมีโลกของดิจิทัลอยู่รอบ ๆ ตัวตลอดเวลา โดยทั่วโลกคนรุ่นนี้จะได้รับความสุขสบายและนิยมวัตถุมากกว่ารุ่นก่อน ๆ มีแนวโน้มว่าเจเนอเรชันอัลฟ่าจะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น

 

  • การแบกภาระคนรุ่นก่อน

ประชากรที่อยู่รอบ ๆ เจเนอเรชันอัลฟ่ากำลังชราขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องแบกรับภาระการดูแลผู้คนจำนวนมากในสังคม ทั้งการดูแลสุขภาพ การดูแลด้านสังคม และเงินบำนาญ แม้ว่าสังคมผู้สูงวัยที่เพิ่มมากขึ้นในเวลานั้นแต่ในขณะเดียวกันที่เจเนอเรชันอัลฟ่าเองก็มีรายได้ที่สูงมากที่สุดเช่นกัน

 

  • ความท้าทายที่ Generation Alpha ต้องเผชิญ

ผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วจะทำให้คนในเจเนอเรชันนี้มีการศึกษาแบบมีคุณลักษณะเฉพาะบุคคล เป็นการศึกษาในเชิงลึกจึงทำให้คนรุ่นนี้จะมีความชำนาญเฉพาะและเป็นพวกไร้ราก พวกเขามีแนวโน้มที่จะจบการศึกษาที่สูง อาจมีภาระหนี้สินที่มากขึ้น และเกณฑ์การเกษียณอายุที่ยาวนานกว่าปัจจุบัน ลักษณะงานมีการเปลี่ยนแปลงไปจากคนยุคก่อนมาก มักเป็นการจ้างงานในรูปแบบฟรีแลนซ์ งานเโปรเจคต์ คนในเจเนอเรชันอัลฟ่าจะมีประสบการณ์ที่เชื่อมผสานกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและปัญญาประดิษฐ์อย่างเหนียวแน่น

 

  • ความคาดหวังของพนักงานที่สูงขึ้น

จากการพึ่งพาตนเองและการมีอิสระที่มากขึ้นทำให้พนักงานที่เป็นคนรุ่นนี้มีความต้องการมากขึ้นตามไปด้วย การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แสวงหาการพัฒนาและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ตลอดชีวิต พวกเขารู้คุณค่าของตัวเองและพร้อมที่จะใช้เพื่อยกระดับให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ หากนายจ้างต้องการแรงงานที่มีความสามารถมากขึ้นตามความต้องการ ก็ต้องพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของคนเจนนี้ด้วยเช่นกัน

 

เห็นได้ชัดว่าสังคมและเศรษฐกิจจะต้องมีการเตรียมตัวในหลาย ๆ ด้าน ในอนาคตจะมีการจ้างงานแบบ zero-hours contracts (สัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมง) หรือสัญญาที่ไม่มีเวลาทำงานตามสถานะทางกฎหมายมากขึ้น เพราะจะมีแรงงานแบบ Gig Economy คือไม่ใช่งานประจำหรือเป็นลูกจ้างแบบที่เคยมีมา การคุ้มครองแรงงานที่เป็นเจเนอเรชันอัลฟ่าและผู้บริโภคจะมุ่งเน้นสิทธิในฐานะปัจเจกบุคคลมากขึ้น

 

  • การให้ความพอใจสำหรับความต้องการของคนเจนนี้

ธุรกิจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันกับเจเนอเรชันอัลฟ่าซึ่งชอบความรวดเร็ว อยากมีทางเลือกมากขึ้น และสามารถปรับแต่งตามความต้องการได้มากขึ้น ผลิตภัณฑ์และบริการที่ปรับเปลี่ยนแบบ Personalized จะสามารถนำเสนอได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด ต้องเน้นที่ความเป็นบุคคลก่อนแบรนด์เพื่อรักษาความภักดี การผลิตทีละมาก ๆ หาได้ง่าย ใช้แล้วทิ้ง - คุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคเจนนี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย

 

เจเนอเรชันอัลฟ่านี้มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งคือคาดหวังต่อการตอบสนองและประสบการณ์จากทุกแบรนด์และอาจให้เป็นประสบการณ์ที่ข้ามอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของการตลาดในยุคต่อไป

 

เจเนอเรชันอัลฟ่าจะเติบโตขึ้นท่ามกลางภาวะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม แบรนด์ต่าง ๆ จะต้องให้ความสำคัญต่อสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่และทำอย่างจริงใจ ความไว้วางใจหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง คุณสามารถสูญเสียทุกอย่างได้ในหนึ่งวินาที ความไว้วางใจกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น เพราะเชื่อมต่อที่มากขึ้น นี่อาจเป็นการปฏิวัติในรูปแบบที่ต่าง ๆ เคยทำกันมานั่นเอง

 

Comments