วิธีปกป้องแบรนด์จากการโจรกรรมข้อมูล

วิธีปกป้องแบรนด์จากการโจรกรรมข้อมูล

การพัฒนาธุรกิจ

GlobalLinker Staff

GlobalLinker Staff

234 week ago — ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

 

ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่หันไปซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น ธุรกิจจำนวนมากต่างก็หันไปโฟกัสที่การทำแบรนด์บนโลกออนไลน์ เพื่อไม่ให้แบรนด์ถูกหลงลืมตามกาลเวลา ที่จริงแล้วการมีแบรนด์ในโลกออนไลน์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจเพื่อรักษาระดับของแบรนด์ในการแข่งขันปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการปกป้องแบรนด์จากการถูกขโมยตราสินค้า หากสงสัยว่าคืออะไร ลองอ่านเพิ่มเติมในบทความนี้

 

ในบทความนี้กล่าวถึง :

 

  • การขโมยข้อมูลของแบรนด์คืออะไร

  • เอกลักษณ์แบรนด์ (ฺBrand Identity) อะไรที่ควรเฝ้าระวัง

  • วิธีในการปกป้องแบรนด์จากการถูกขโมยข้อมูล

 

การขโมยเอกลักษณ์แบรนด์ (Brand Identity)

 

การขโมยข้อมูลประจำตัว คือกระบวนการที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคนอื่น เช่น ชื่อ หลักฐานประจำตัว และหมายเลขติดต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเพื่อก่ออาชญากรรม ในธุรกิจเป็นการขโมยข้อมูลของแบรนด์ เอกลักษณ์ของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ เพราะแบรนด์ช่วยสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ และเชื่อมต่อธุรกิจเข้ากับลูกค้า ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องปกป้องแบรนด์ให้ดีที่สุด

 

ตัวอย่างที่ดีของการขโมยข้อมูลแบรนด์คือ ExxonMobile บริษัท น้ำมัน และก๊าซข้ามชาติของอเมริกามีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเออร์วิง รัฐเท็กซัส บัญชี Twitter (@ ExxonMobilCorp) ก่อตั้งขึ้นในปี 2551 โดยติดต่อกับลูกค้าและอ้างตัวว่ามาจากบริษัทจริง แต่ภายหลังพบว่าบัญชีนั้นเป็นของปลอม อีกตัวอย่างที่ดีของการสร้างแบรนด์คือ Starbucks ในปี 2549 Starbucks เฟรปปูชิโนโฆษณาวิดีโอบน YouTube ได้รั่วไหลโดยการโดยขโมยข้อมูล

 

ความเป็นตัวตนของแบรนด์ที่ต้องรู้จัก 

 

ผู้ฉ้อโกงสามารถสร้างแบรนด์หรือเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริงได้ พวกเขาสามารถสร้างบัญชีสื่อโซเชียลปลอม และยังโต้ตอบกับลูกค้า โดยแอบอ้างชื่อแบรนด์ของแท้ แบรนด์มี 4 ด้านหลักที่ลูกค้าเชื่อมโยงด้วยคือ:

 

  • ภาษาและสไตล์การสื่อสารของแบรนด์

  • ปฏิสัมพันธ์ของผู้ขาย

  • การออกแบบเว็บไซต์และลักษณะของเว็บไซต์

  • ลักษณะและความถูกต้องของผลิตภัณฑ์

 

ผู้ฉ้อโกงเห็นจุดสำคัญเหล่านี้ และลองทำซ้ำเพื่อทำให้ลูกค้าสับสนในการซื้อผลิตภัณฑ์ บางครั้งผู้ซื้อจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างของปลอมกับของแท้ไม่ออก เนื่องจากของปลอมนั้นสามารถปรากฏบนผลการค้นหาได้อย่างง่ายดาย และผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าของปลอมได้โดยไม่รู้ตัว

 

ต่อไปนี้เป็นวิธีการที่นักต้มตุ๋นสามารถสร้างผลกระทบต่อแบรนด์ :

 

1. การเบี่ยงเบนผลการค้นหาบน Google

 

วิธีที่ชาญฉลาดในการสร้างการเบี่ยงเบนคือ ใช้ชื่อแบรนด์ที่คล้ายกับแบรนด์แท้โดย Google จะสับสนระหว่างทั้งสองแบรนด์และท้ายสุดจะแสดงแบรนด์ที่ซ้ำกันก่อนในผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น ชื่อแบรนด์คือ Monvelli และนักต้มตุ๋นสร้างแบรนด์ที่ซ้ำกันด้วย 'i' ตอนนี้เมื่อผู้ซื้อกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ออนไลน์ Monvelli อาจมาที่ Monvellii แทน เพราะลูกค้าอาจไม่ทราบถึงความแตกต่างเล็กน้อยนี้ และอาจจบลงที่การซื้อผลิตภัณฑ์จากเว็บไซต์ที่ชื่อคล้ายแบรนด์แท้

 

2. จัดการ SEO

 

การใช้ SEO ในด้านลบ สามารถส่งเสริมการฉ้อโกงและการหลอกลวงได้ บุคคลสามารถลองใส่ชื่อแบรนด์หรือแท็กไลน์ในส่วน Header, Meta Tags หรือในโค้ด HTML บางอัน เพื่อให้ได้อันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา

 

3. การปลอมแปลง

 

ผู้ลอกเลียนแบบอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงสำหรับแบรนด์ที่เป็นของแท้ การปลอมแปลงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยการติดฉลากเป็นสินค้า Referbished และขายในราคาที่ถูกกว่า วิธีนี้แบรนด์แท้จะสูญเสียยอดขาย เนื่องจากลูกค้าแทบจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอมได้ และซื้อรุ่นที่ราคาถูกกว่า นอกเหนือจากการสูญเสียแบรนด์แล้วยังสูญเสียชื่อเสียงอีกด้วย

 

4. สินค้าใน Grey Market

 

สินค้าใน Grey Market เป็นสินค้าที่ถูกขโมยไปแล้วทำการตกแต่งใหม่และขายใหม่ ต้องใช้สายตาของผู้เชี่ยวชาญในการดูและแยกแยะ เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างสินค้าเหล่านี้กับสินค้าของแท้ สินค้าเหล่านี้ไม่ได้มาพร้อมกับการรับประกัน และลูกค้าจะมีปัญหาเมื่อสินค้าเกิดเสีย แต่ไม่สามารถนำไปซ่อมได้

 

5. การทำลายแบรนด์และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง

 

ในการสร้างความเสียหายให้กับแบรนด์ ผู้ไม่หวังดีอาจจ้างคนและจ่ายเงินให้ทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียง ตัวอย่างคลาสสิกอย่างหนึ่งคือการโพสต์รีวิวสินค้าที่ไม่ดีบนเว็บไซต์ออนไลน์ และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่งคืออีเมลที่ดูเป็นทางการ แต่มีรูปภาพหรือตราสินค้าที่ขโมยมาจากแบรนด์ แล้วส่งอีเมลไปตามรายชื่อผู้ติดต่อ เพื่อหลอกให้คนคลิกเข้าไป ลองดูโฟลเดอร์สแปมในอีเมล นั่นเป็นตัวอย่างของการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง

 

เมื่อรู้แล้วว่าการขโมยข้อมูลของแบรนด์คืออะไร มาดูกันว่าเราจะสามารถป้องกันแบรนด์จากการขโมยข้อมูลได้อย่างไร :

 

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

 

เครื่องหมายการค้าเป็นการรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ เราสามารถปกป้องโลโก้หรือชื่อธุรกิจโดยการลงทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับตราสินค้าอย่างถูกกฎหมาย อาจใช้เวลาหนึ่งหรือสองปีในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แต่ระหว่างนี้สามารถใช้เครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนไปก่อนได้

 

ตรวจสอบบัญชีโซเชียล

 

ต้องทำการยืนยันหน้าโซเชียลของแบรนด์ ให้เป็น Offical Account เช่น Instagram จะมีเครื่องหมายขีดสีฟ้าบนโปรไฟล์ธุรกิจ เพื่อแยกความแตกต่างของบัญชีที่ผ่านการตรวจสอบและบัญชีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ในทำนองเดียวกันแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ทั้งหมดใช้กระบวนการตรวจสอบที่แตกต่างกันซึ่งแบรนด์ต้องศึกษาและปฏิบัติตาม

 

ใช้โลโก้ของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

 

การใช้โลโก้ของแบรนด์ซ้ำ ๆ จะสร้างการจดจำแบรนด์ได้ โลโก้มีผลกระทบต่อลูกค้าอย่างมาก ดังนั้นจึงควรใช้โลโก้ที่ทำให้คนสามารถจดจำได้ง่าย ลองนึกถึง Nike หรือ Apple 

 

และถ้าแบรนด์มีโลโก้เดียวกันมากกว่าหนึ่งแบบ เราสามารถกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ใดที่จะต้องมีการประทับด้วยโลโก้แบบไหน สิ่งนี้จะช่วยป้องกันการขโมยตราสินค้าเนื่องจากลูกค้ารู้จักโลโก้ของแบรนด์

 

การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

 

ยิ่งทำงานเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่ง ก็จะยิ่งยากขึ้นสำหรับผู้โจมตีที่จะพยายามปลอมแปลง คิดถึง Starbucks คนที่พยายามขายกาแฟเลียนแบบภายใต้แบรนด์ Starbucks จะต้องคิดซ้ำสองก่อนที่จะทำ เพราะลูกค้าที่เคยลองของแท้นั้นตระหนักถึงคุณภาพและรสชาติของมัน

 

ดำเนินการแก้ไขทันที

 

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกถึงการละเมิดข้อมูลให้ดำเนินการแก้ไขทันที เพื่อควบคุมไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ทุกประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของทรัพย์สินทางปัญญาที่แตกต่างกัน และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจกฎหมายในประเทศของตัวเองอย่างเต็มที่ หากต้องการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในอนาคต 

 

การปกป้องแบรนด์จากการโจรกรรมมีความสำคัญเท่ากับการสร้างและปรับแบรนด์ ปกป้องแบรนด์จากการโจรกรรมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลจากบทความนี้ให้เป็นประโยชน์

 

 

Comments